Month: กันยายน 2021

เครื่องดนตรีที่ทรงปั้น

เกม เดอะเลเจนด์ออฟเซลด้า:โอคาริน่าออฟไทม์ของบริษัทเกมนินเทนโด้ถือเป็นหนึ่งในวิดีโอเกมส์ที่ดีที่สุดที่เคยมีมาโดยมียอดขายกว่าเจ็ดล้านแผ่นทั่วโลก และยังทำให้โอคาริน่าซึ่งเป็นเครื่องดนตรีโบราณขนาดเล็กที่ปั้นด้วยดินเหนียวมีรูปทรงเหมือนมันฝรั่งกลายเป็นที่นิยมอีกด้วย

โอคาริน่าดูไม่ค่อยเหมือนเครื่องดนตรี แต่เมื่อผู้เล่นเป่าลมเข้าไปและปิดรูรอบๆเครื่องรูปทรงประหลาดนี้ ก็จะเกิดเสียงที่สงบเยือกเย็นชวนหลงใหลและเต็มไปด้วยความหวัง

ช่างทำโอคาริน่าจะนำก้อนดินเหนียวมา ใช้แรงกดและความร้อน และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเครื่องดนตรีที่น่าทึ่ง ฉันเห็นภาพของเรากับพระเจ้าที่นี่ อิสยาห์ 64:6,8-9 บอกเราว่า “ข้าพระองค์ทุกคนได้กลายเป็นเหมือนคนที่ไม่สะอาด...แต่พระองค์ยังทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นดินเหนียว และพระองค์ทรงเป็นช่างปั้น...ขออย่าทรงกริ้วนัก” ผู้เผยพระวจนะกำลังบอกว่า พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้ควบคุม เราทุกคนล้วนเป็นคนบาป ขอทรงปั้นเราให้เป็นเครื่องดนตรีที่งดงามเพื่อพระองค์

นั่นแหละเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ! โดยพระเมตตา พระองค์ได้ส่งพระเยซูองค์พระบุตรมาตายเพื่อบาปของเรา และในเวลานี้พระองค์กำลังปั้นแต่งและเปลี่ยนแปลงเราในขณะที่เราเดินไปกับพระวิญญาณในทุกวัน เช่นเดียวกับที่คนสร้างโอคาริน่าเป่าลมในเครื่องเพื่อให้เกิดเสียงเพลงอันไพเราะ พระเจ้าก็ทรงทำงานผ่านเราซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ทรงปั้น เพื่อทำให้พระประสงค์อันงดงามของพระองค์สำเร็จ คือการเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้นและมากขึ้น (รม.8:29)

นอกค่าย

วันศุกร์เป็นวันที่มีตลาดนัดในเมืองชนบทของประเทศกานาที่ผมเติบโตมา หลังจากหลายปีผ่านไปผมยังจำแม่ค้าคนหนึ่งได้ นิ้วมือและนิ้วเท้าของเธอกุดไปเพราะโรคเรื้อน เธอหมอบอยู่ที่เสื่อและตักสินค้าของเธอด้วยกระบวยที่ทำจากบวบ บางคนหลบเลี่ยงเธอ แม่ของผมตั้งใจซื้อของจากเธอเป็นประจำ ผมเห็นเธอแค่ในวันที่มีตลาดนัด แล้วเธอก็จะหายออกไปนอกเมือง

ในยุคอิสราเอลโบราณ โรคต่างๆที่เป็นเหมือนโรคเรื้อนนั้นหมายถึงการใช้ชีวิต “ภายนอกค่าย” เป็นชีวิตที่โดดเดี่ยวสิ้นหวัง กฎบัญญัติของอิสราเอลกล่าวถึงคนเหล่านี้ว่า “เขาจะต้องอยู่แต่ลำพัง” (ลนต.13:46) ภายนอกค่ายยังเป็นที่เผาซากวัวซึ่งถวายเป็นเครื่องบูชาด้วย (4:12) ภายนอกค่ายไม่ใช่สถานที่ที่คุณอยากจะอยู่

ความจริงที่โหดร้ายนี้ทำให้คำกล่าวถึงพระเยซูในฮีบรู 13 น่าสนใจมากยิ่งขึ้น “ให้เราทั้งหลายออกไปหาพระองค์ภายนอกค่ายนั้นและยอมรับคำดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อพระองค์” (ข้อ 13) พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนที่นอกประตูเมืองเยรูซาเล็ม นี่เป็นประเด็นสำคัญเมื่อเราศึกษาเรื่องระเบียบในการถวายเครื่องบูชาของฮีบรู

เราอยากเป็นที่ชื่นชอบ ได้รับการเคารพ มีชีวิตที่สะดวกสบาย แต่พระเจ้าทรงเรียกให้เรา “ออกไปนอกค่าย” ซึ่งเป็นที่แห่งความอดสู ที่นั่นเราจะพบแม่ค้าที่เป็นโรคเรื้อน ที่นั่นเราจะพบผู้คนที่โลกไม่ยอมรับ และที่นั่นเราจะได้พบพระเยซู

หนังสือที่มีชีวิต

เพื่อเป็นการระลึกถึงผลงานของคุณตา ปีเตอร์ ครอฟท์ เขียนว่า “เป็นความปรารถนาอย่างที่สุดของผมให้คนที่หยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาไม่ว่าจะฉบับไหนก็ตาม จะไม่เพียงแค่เข้าใจแต่มีประสบการณ์ว่าพระวจนะนั้นเป็นหนังสือที่มีชีวิต ทั้งยังทันสมัย เสี่ยงอันตรายและน่าตื่นเต้นในปัจจุบันอย่างที่เคยเป็นเมื่อกว่าพันปีที่แล้ว” คุณตาของปีเตอร์คือ เจ.บี.ฟิลิปส์ ผู้รับใช้ฝ่ายอนุชนที่เรียบเรียงพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษขึ้นใหม่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อให้น่าสนใจต่อนักเรียนในโบสถ์ของเขา

เราก็พบอุปสรรคในการอ่านและมีประสบการณ์กับพระคัมภีร์เช่นเดียวกับนักเรียนของฟิลิปส์ และอาจไม่ใช่เพราะการแปลพระคัมภีร์ของเรา เราอาจไม่มีเวลา วินัย หรือเครื่องมือที่ดีในการทำความเข้าใจ แต่สดุดี 1 บอกเราว่า “ความสุขเป็นของบุคคล...(ที่)ความปีติยินดี...อยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” (ข้อ 1-2) การใคร่ครวญพระวจนะทุกวันทำให้เรา “จำเริญขึ้น” ในทุกฤดูกาลไม่ว่าเรากำลังเผชิญความทุกข์ยากใดก็ตาม

คุณมีมุมมองต่อพระคัมภีร์อย่างไร พระคัมภีร์ยังคงอุดมด้วยปัญญาเพื่อการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ยังคงเสี่ยงอันตรายในการที่ทรงเรียกให้เชื่อและติดตามพระเยซู ยังคงน่าตื่นเต้นในการถ่ายทอดความรู้ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับพระเจ้าและมนุษย์ พระคัมภีร์เป็นเหมือนธารน้ำ (ข้อ 3) ที่มอบสิ่งจำเป็นแก่เราทุกวัน ในวันนี้ขอให้เราโน้มตัวเข้ามา ด้วยการจัดสรรเวลา หาเครื่องมือที่ดี และทูลขอพระเจ้าทรงช่วยเราให้มีประสบการณ์กับพระคัมภีร์ในฐานะที่เป็นหนังสือที่มีชีวิต

การกระทำยิ่งใหญ่แห่งความรัก

ที่ป่าสงวนแห่งชาติมัลเฮียร์ในรัฐโอเรกอน มีเห็ดราซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อเห็ดน้ำผึ้งกระจายอยู่ตามรากของต้นไม้บนพื้นที่ราว 9 ตร.กม. ทำให้มันเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่สุดที่ถูกค้นพบ มัน “ถักทอกลุ่มเส้นใยสีดำ” ตามป่ามากว่าสองพันปี มันฆ่าต้นไม้มากขึ้นเมื่อแพร่กระจาย กลุ่มเส้นใยที่เรียกว่า “ไรโซมอร์ฟ” เจาะลึกลงไปในดินถึงสิบฟุต แม้สิ่งมีชีวิตนี้จะมีขนาดใหญ่มาก แต่มันเริ่มต้นจากสปอร์เล็กๆเพียงสปอร์เดียว!

พระคัมภีร์บอกเราถึงการไม่เชื่อฟังครั้งเดียวที่ทำให้เกิดการพิพากษาโทษเป็นวงกว้างและการเชื่อฟังเพียงครั้งเดียวที่ลบล้างทุกสิ่ง เปาโลพูดถึงสองคนที่ตรงข้ามกัน คืออาดัมและพระเยซู (รม.5:14-15) บาปของอาดัมนำการพิพากษาและความตายไปถึง “มวลมนุษย์ทุกคน” (ข้อ 12) เพราะการไม่เชื่อฟังเพียงครั้งเดียว ทุกคนกลายเป็นคนบาปและถูกตัดสินต่อหน้าพระเจ้า (ข้อ 17) แต่พระองค์มีวิธีจัดการกับปัญหาบาปของมนุษย์ โดยการกระทำอันชอบธรรมของพระเยซูบนกางเขน พระเจ้าได้ทรงเตรียมชีวิตนิรันดร์และสิทธิ์ที่จะยืนต่อหน้าพระองค์ การกระทำแห่งความรักและเชื่อฟังของพระคริสต์มีฤทธิ์อำนาจมากพอที่จะชนะการไม่เชื่อฟังของอาดัมเพียงครั้งเดียว ทำให้เกิด “ชีวิตเพื่อคนทั้งปวง” (ข้อ 18)

โดยการสิ้นพระชนม์บนกางเขน พระเยซูได้ทรงมอบชีวิตนิรันดร์แก่ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ ถ้าคุณยังไม่ได้รับการอภัยและความรอด ขอให้คุณตอบรับในวันนี้ ถ้าคุณเป็นผู้เชื่อแล้ว จงสรรเสริญพระองค์ในการกระทำอันยิ่งใหญ่แห่งความรักของพระองค์!

จากปัญญาสู่ความชื่นชมยินดี

มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นและฉันรับสายในทันที คนที่โทรมาเป็นสมาชิกที่อายุมากที่สุดในครอบครัวคริสตจักรของเรา เธอเป็นผู้หญิงที่ขยันและมีชีวิตชีวาซึ่งอายุเกือบร้อยปีแล้ว เธอกำลังปรับแก้หนังสือเล่มล่าสุดของเธอเป็นรอบสุดท้าย เธอมีคำถามเกี่ยวกับการเขียนเพื่อช่วยให้เธอทำงานชิ้นนี้สำเร็จ แต่เช่นเดียวกับทุกครั้ง ไม่นานฉันก็ถามคำถามเธอกลับถึงเรื่องชีวิต การงาน ความรัก ครอบครัว บทเรียนจากชีวิตยาวนานของเธอเต็มไปด้วยสติปัญญา เธอบอกฉันว่า “ช้าลงหน่อย” ไม่นานเราก็หัวเราะออกมาเพราะบางทีเธอก็ลืมทำเช่นนั้นเรื่องราวอันยอดเยี่ยมของเธอล้วนเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีที่แท้จริง

พระคัมภีร์สอนว่าปัญญานำไปสู่ความชื่นชมยินดี “มนุษย์ผู้ประสบปัญญาและผู้ได้ความเข้าใจ เป็นสุขจริงหนอ” (สภษ.3:13) เราพบว่าหนทางนี้คือจากปัญญาสู่ความชื่นชมยินดีนั้นเป็นหลักธรรมตามพระคัมภีร์โดยแท้จริง “เพราะปัญญาจะเข้ามาในใจของเจ้า และความรู้จะเป็นที่ร่มรื่นแก่วิญญาณจิตของเจ้า” (สภษ.2:10) “พระเจ้าประทานสติปัญญา ความรู้ และความยินดีให้แก่คนที่พระองค์ทรงพอพระทัย” (ปญจ.2:26) ปัญญา “เป็นทางของความร่มรื่น” สภษ.3:17

ซี.เอส.ลูอิสกล่าวถึงมุมมองในเรื่องชีวิตว่า “ความชื่นชมยินดีเป็นเรื่องที่จริงจังมากในสวรรค์” แต่หนทางที่ไปนั้นปูไว้ด้วยสติปัญญา เพื่อนในคริสตจักรผู้กำลังเข้าสู่วัย 107 ปีของฉันคงคิดเหมือนกัน เธอได้ก้าวเดินด้วยสติปัญญาและความชื่นชมยินดีเพื่อไปเฝ้าองค์กษัตริย์

เหมือนวงซิมโฟนี

ผมทำให้ภรรยาประหลาดใจด้วยบัตรชมคอนเสิร์ตศิลปินที่เธออยากไปดูเสมอ นักร้องผู้มีพรสวรรค์พร้อมวงซิมโฟนีออเคสตร้าโคโลราโด การแสดงจัดขึ้นที่อัฒจันทร์เรดร็อคซึ่งอยู่กลางแจ้ง สร้างขึ้นระหว่างหินขนาด 300 ฟุตสองด้านซึ่งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 6,000 ฟุต วงออเคสตร้าเล่นเพลงคลาสสิคและเพลงโฟล์คซึ่งเป็นที่รู้จักหลายเพลง เพลงสุดท้ายเป็นเพลงนมัสการคลาสสิค “พระคุณพระเจ้า” การเรียบเรียงที่สอดประสานอย่างงดงามนั้นช่างน่าประทับใจเหลือเกิน!

มีความงดงามในเสียงประสานนั้น เสียงของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นประสานกันเกิดเป็นคลื่นเสียงที่ใหญ่และซับซ้อนขึ้น อัครทูตเปาโลชี้ให้เห็นถึงความงามแห่งเสียงประสานเมื่อท่านบอกชาวฟีลิปปีให้มี “ความคิดอย่างเดียวกัน” มี “ความรักอย่างเดียวกัน” และมี “ใจรู้สึกและคิดพร้อมเพรียงกัน” (ฟป.2:2) ท่านไม่ได้ขอให้พวกเขาเป็นเหมือนกันแต่ให้มีท่าทีถ่อมใจและมีความรักของพระเยซูที่เสียสละตัวเอง พระกิตติคุณที่เปาโลรู้จักและสั่งสอนนั้น ไม่ได้มาลบเลือนลักษณะเด่นของเราแต่ช่วยขจัดการแบ่งแยกระหว่างเราออกไป

น่าสนใจเช่นกันที่นักวิชาการหลายท่านเชื่อว่าคำพูดของเปาโลนี้ (ข้อ 6-11) เป็นการเริ่มต้นเพลงนมัสการในยุคแรก สิ่งสำคัญคือ เมื่อเรายอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานผ่านชีวิตและบริบทที่ต่างกันของเรา ทำให้เราเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น เราจะรวมกันเป็นวงซิมโฟนีที่ส่งเสียงกังวานด้วยความรักอันถ่อมใจเหมือนพระคริสต์

โรงแรมโคโรนา

โรงแรมแดนในเยรูซาเล็มเป็นที่รู้จักด้วยชื่อใหม่ในปี 2020 ว่า “โรงแรมโคโรนา” รัฐบาลจัดสรรโรงแรมให้ผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้นจากโควิด 19 และโรงแรมกลายเป็นที่รู้จักว่าเป็นสถานที่แห่งมีสุขและความเอกภาพที่หาได้ยากในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ เพราะผู้เข้าพักต่างมีเชื้อไวรัส พวกเขาจึงมีอิสระที่จะให้ร้องเพลง เต้นรำและหัวเราะด้วยกัน และพวกเขาก็ทำ! ในประเทศที่มีความตึงเครียดระหว่างกลุ่มการเมืองและศาสนาที่แตกต่างกัน วิกฤตที่มีร่วมกันได้สร้างพื้นที่ให้คนได้เรียนรู้ที่จะมองกันในฐานะเพื่อนมนุษย์ และกระทั่งกลายมาเป็นเพื่อนกัน

เป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติที่เราจะถูกดึงดูดเข้าหาคนที่เราเห็นว่าคล้ายกับเรา คนที่เราคิดว่ามีประสบการณ์และมุมมองคล้ายกัน แต่ดังที่อัครทูตเปาโลมักย้ำเตือนว่า ข่าวประเสริฐท้าทายต่อกำแพงระหว่างมนุษย์ที่เราเห็นว่าเป็นเรื่อง “ปกติ” (2 คร.5:15) โดยการมองผ่านเลนส์แห่งข่าวประเสริฐ เราได้เห็นภาพรวมที่ใหญ่เกินกว่าความแตกต่างของเรา คือการได้แบ่งปันความเจ็บปวด และการมีความโหยหาและความต้องการร่วมกันที่จะได้รับการรักษาโดยความรักของพระเจ้า

ถ้าเราเชื่อว่า “ผู้หนึ่งได้ตายเพื่อคนทั้งปวง” เราก็ไม่อาจพึงพอใจกับการตัดสินผู้อื่นแบบผิวเผินได้อีก แต่ในทางกลับกัน “ความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่” (ข้อ 14) เพื่อเราจะแบ่งปันความรักและพันธกิจของพระองค์กับผู้ที่พระเจ้าทรงรักมากเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ นั่นก็คือ เราทุกคน

ใช้ข้าพระองค์ไป

เมื่อ อีริค ลุนด์ มิชชันนารีชาวสวีเดนรู้สึกถึงการทรงเรียกให้ไปประกาศที่สเปนในช่วงปลายทศวรรษ 1890 เขาก็เชื่อฟังทันที เขาแทบมองไม่เห็นความสำเร็จที่นั่น แต่ยังยืนหยัดอย่างเชื่อมั่นในการทรงเรียกของพระเจ้า วันหนึ่งเขาพบชายชาวฟิลิปปินส์ชื่อ บราอูลิโอ มานิกันและได้แบ่งปันข่าวประเสริฐกับเขา ลุนด์และมานิกันร่วมกันแปลพระคัมภีร์เป็นภาษาท้องถิ่นฟิลิปปินส์ และภายหลังได้ก่อตั้งสถานประกาศแบ๊บติสต์แห่งแรกในฟิลิปปินส์ คนมากมายกลับใจมาหาพระเยซู ทั้งหมดเป็นเพราะลุนด์ซึ่งเป็นเหมือนผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ที่ตอบรับการทรงเรียกของพระเจ้า

ในอิสยาห์ 6:8 พระเจ้าทรงเรียกหาคนที่เต็มใจจะไปยังอิสราเอลเพื่อประกาศการพิพากษาของพระองค์ในเวลานั้นและความหวังสำหรับอนาคต อิสยาห์อาสาอย่างกล้าหาญ “ข้าพระองค์อยู่นี่ ขอทรงใช้ข้าพระองค์ไปเถิด” ท่านไม่ได้คิดว่าตัวเองเหมาะสม เพราะท่านสารภาพก่อนหน้านั้นว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนริมฝีปากไม่สะอาด” (ข้อ 5) แต่ท่านตอบรับอย่างเต็มใจเพราะท่านได้เป็นพยานถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ยอมรับความบาปของตน และรับการชำระล้างจากพระเจ้า (ข้อ 1-7)

พระเจ้ากำลังเรียกให้คุณทำบางอย่างเพื่อพระองค์หรือไม่ คุณกำลังลังเลใช่ไหม ถ้าใช่ จงระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทำผ่านการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นมาของพระเยซู พระองค์ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อช่วยและนำเรา (ยน. 14:26; 15:26-27) และพระองค์จะทรงเตรียมเราเพื่อตอบรับการทรงเรียกของพระองค์ ขอให้เราตอบเช่นเดียวกับอิสยาห์ว่า “ขอทรงใช้ข้าพระองค์ไปเถิด”

สมบูรณ์ในพระคริสต์

ในภาพยนตร์ที่โด่งดังเรื่องหนึ่ง นักแสดงชายรับบทเป็นเอเย่นต์ตัวแทนนักกีฬาผู้มีความทะเยอทะยานซึ่งชีวิตแต่งงานกำลังสั่นคลอน ด้วยความพยายามที่จะเอาชนะใจโดโรธีผู้เป็นภรรยาอีกครั้ง เขามองตาเธอและพูดว่า “คุณเติมเต็มชีวิตผม” เป็นคำพูดอบอุ่นใจที่สะท้อนเรื่องเล่าตามเแนวคิดปรัชญากรีกที่กล่าวว่า เราแต่ละคนล้วนเป็น “ครึ่งหนึ่ง” ที่ต้องตามหา “อีกครึ่งหนึ่ง” ของเราเพื่อจะครบสมบูรณ์

ความเชื่อที่ว่าคู่รักของเรา “เติมเต็ม” เรานั้นในเวลานี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ยอมรับกัน แต่เป็นเช่นนั้นจริงหรือ ผมพูดคุยกับคู่สามีภรรยาหลายคู่ที่ยังรู้สึกไม่สมบูรณ์เพราะพวกเขาไม่สามารถมีบุตรได้ หรือคู่ที่มีบุตรแล้วแต่ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ขาดหายไป ในท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีมนุษย์คนใดเติมเต็มเราให้สมบูรณ์ได้

อัครทูตเปาโลได้ให้ทางแก้ไว้อีกทางหนึ่ง “เพราะว่าในพระองค์นั้น สภาพของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ และท่านได้บรรลุถึงความครบบริบูรณ์ในพระองค์” (คส.2:9-10) พระเยซูไม่เพียงยกโทษและปลดปล่อยเรา แต่พระองค์ยังทรงทำให้เราสมบูรณ์โดยนำชีวิตของพระเจ้าสู่ชีวิตเรา (ข้อ 13-15)

การแต่งงานเป็นเรื่องดี แต่ก็ไม่สามารถเติมเต็มเรา มีเพียงพระเยซูเท่านั้นที่ทำได้ แทนที่จะคาดหวังให้บุคคล อาชีพการงาน หรือสิ่งอื่นใดมาเติมเต็มเรา ให้เรารับคำเชื้อเชิญของพระเจ้าที่จะยอมให้ความสมบูรณ์ของพระองค์เติมเต็มชีวิตเรามากยิ่งขึ้น

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา